คนที่จะลาออกจากงานมาทำเกษตรต้องวางแผนล่วงหน้าให้ดี มีบางท่านมาคุยกับผมว่า…..อีก7-8 เดือนจะเกษียณอายุ มีเงินก้อนหนึ่ง
อยากไปหาซื้อที่ทำเกษตรที่บ้านเกิดบ้าง แต่ที่สำคัญอย่างหนึ่งก็คือคนที่จะลาออกจากงานหรือคนที่จิตใจไม่อยู่กับที่ทำงานในบริษัท หรือหน่วยงานราชการ บุคคลประเภทนี้จะต้องมีการวางแผนอย่างรัดกุมเพราะ.............................
..... การทำการเกษตรนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบหรือปูด้วยพรมบนแคทวอล์คนะครับ หากต้องการมาเป็นเกษตรกรจริงๆแล้วต้องเตรียมความพร้อมหลายอย่าง
ซึ่งปัจจัยที่ต้องพิจารณามีหลายประการคือ
เดี๋ยวนี้มีที่ดินเพียง1-2ไรก็รวยได้ อยู่ที่เราวางแผนจะใช้ที่ดินนั้นทำอะไร เรามี 50 ไร่ ปลูกพืชเชิงเดียว อาจจะจนมากกว่า……คนที่ทำเกษตรแบบผสมผสานเพียง1ไร่ ก็ได้
1ไร่ 3แสนเป็นเรื่องที่เป็นได้แน่นอนทำมาแล้ว ขออย่างเดียวให้มี…น้ำ ถ้ามีน้ำคือมีชีวิตที่ดีขึ้นแน่นอน ถ้าฝนตกเรามีที่เก็บไว้ได้หมดเราจะมีน้ำเพียงพอใน1ปีแน่นอน
เป็นปัจจัยที่สำคัญไม่น้อยลาออกมาแล้วจะกินอะไร เอาเงินที่ไหนใช้จ่าย การเริ่มต้นชีวิตเกษตรกรไม่ใช่ว่าทำเดือนสองเดือนแล้วมีเงินเข้ามาต้นไม้พืชผัก จะบังคับให้มันโตตามใจเราไม่ได้
ถามว่ามีเท่าไหร่ถึงจะพอยิ่งถ้ามี ภาระทางครอบครัวแล้วคิดให้หนัก ต้องเตรียมปรับปรุงดิน วางแผน ปลูกต้นไม้แบบค่อยๆไปตามเวลาอย่างน้อย1-2 ปี พอลาออกปุ๊บเก็บผลผลิตขายได้เลย
*** แต่ถ้าไม่วางแผนหรือทำล่วงหน้าไว้ก่อน..ท่านครับเป็นลูกจ้างเหมือนเดิมดีกว่า
ที่สำคัญถ้าอยู่ไม่ได้ต้องออกแน่ อยากให้ทุกคนปลูกไม้บำนาญตามขอบเขตของที่ทางเช่น ยางนา พะยูง ตะแบก เป็นต้น จะได้ผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยของธนาคารใดๆในโลกนี้ ก่อนลาออกต้องถามใจตัวเองก่อนว่าทนตากแดดตากฝน เท้าติดดิน มือแตก และการดูถูกเหยียดหยามได้หรือไม่
อย่าคิดว่ามีเงินจ้างเขาทำชี้นิ้วสั่งก็ได้ แบบนี้เก็บเงินไว้ให้ลูกหลานใช้ดีกว่า บางคนมีเงินลุยทำเกษตรตั้งชื่อฟาร์มเสียโก้หรู โดนลูกน้องหลอกมาหลายราย สุดท้ายก็เป็นฟาร์มที่ใช้เงินสร้างไม่ได้สร้างด้วยกำลังกาย กำลังใจ
อย่าเพิ่งรีบลาออก ต้องเรียนรู้เพื่อเตรียมความพร้อมก่อน
ที่ดิน ทุน ใจ กำลัง หาได้สร้างได้ แต่ความรู้ ต้องมี เพื่อเป็นพื้นฐาน ระหว่างที่ทำงานอยู่หาความรู้ไปด้วย สะสมเงินทุน ที่ดินไปก่อน
อย่าเพิ่งตัดสินใจลาออกกะทันหัน เพราะตอนที่เราทำงานอยู่ เราสามารถใช้เวลาว่างหาความรู้ได้เต็มที่ทุกคน ไม่มีพรสวรรค์ทุกคน แต่ถ้ามีพรแสวงรับรองพออยู่ พอกิน พอใช้แน่นอนการเสาะแสวงหามีความรู้นั้นไม่ยาก
ต้องตั้งโจทย์ก่อนว่า คุณอยากทำอะไร สนใจอะไร หาความรู้ไว้ก่อนยิ่งมีสื่vอินเทอร์เน็ต ยิ่งสะดวกสบายใหญ่ค้นข้อมูลแป๊บเดียวก็ได้แล้วแต่อย่าเชื่อจนหมด เราต้องปฎิบัติจริงแล้วปรับมาใช้กับบริบทของตนเอง ต้องนำหลักกาลามสูตรของพระพุทธเจ้ามาใช้ โดยเฉพาะนักวิชาการบางคนรู้แต่ทฤษฎีไม่เคยลงมือทำ
อย่าเชื่อปราชญ์เพราะบางคนเป็นปราชญ์โปรโมท เชื่อเขาทั้งหมดทำตามหมดก็เจ๊งได้
อย่าเชื่อเพราะผมเป็นครู ผมอาจจะนำคติส่วนตัวมาสอน
จงเชื่อตัวเราเองที่ได้นำความรู้จากที่ต่างๆมาตกผลึกจนปนของเราเอง
บทความจาก : คุณ Cha Tisol
www.facebook.com/cha.tisol?fref=nf